ครั้งหนึ่งมิกกี้ เมาส์ตัวละครที่เป็นขวัญใจของคนทั่วโลกเคยมีด้านมืดกับเขามาก่อน ที่ไม่แตกต่างอะไรกับคนเราแม้แต่น้อย
มิกกี้ เมาส์ เป็นตัวละครที่ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 18
พฤศจิกายน 1928 โดยวอลต์ ดิสนีย์ ด้วย เอกลักษณ์ที่คุ้นเคยกันดี กล่าวคือมิกกี้ เมาส์มีลักษณะเป็นหนูสีดำ
สวมกางเกงเอี๊ยมสีแดง สวมถุงมือสีขาว (มีนิ้ว 4 นิ้ว) และรองเท้าใบโตสีเหลือง
มิกกี้ เมาส์เปิดตัวต่อหน้าสาธารณะครั้งแรกจากภาพยนตร์การ์ตูนขาวดำ
“เรือกลไฟวิลลี่” (Steamboat Willie) ที่ออกฉากเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 1928 ซึ่งต่อมา “เรือกลไฟวิลลี่” ได้รับเลือกให้อยู่อันดับ 13 ใน 50
ภาพยนตร์การ์ตูนที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล ที่ยังคงมีคุ้นค่าจนถึงปัจจุบัน
หลัง จากการเปิดตัวของมิกกี้ เมาส์
สิ่งที่ตามมาก็คือเพื่อนของมิกกิ้
เมาส์ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเป็ดขี้โมโหและโวยวายโดนัลด์ ดั๊ก และกุฟฟี่
ทั้งหมดล้วนดังเป็นขวัญใจของเด็กทั่วโลกทั้งสิ้น
เชื่อ ว่าหลายคนคงรู้จักมิกกี้ เมาส์และพรรคพวกไม่มากก็ไม่น้อย
จนถึงปัจจุบันการ์ตูนมิกกี้ เมาส์ก็ยังไม่ตกยุคเลย อีกทั้งภาพลักษณ์ของมิกกี้
เมาส์นั้นควรเอาเยี่ยงอย่าง เพราะมิกกี้ เมาส์มีบุคลิกที่มีความอดทน อดกลั้น
ฉลาดหลักแหลม มองโลกในแง่ดี และกล้าหาญ ที่สำคัญ มิกกี้ เมาส์
มีสัญชาตญาณพิเศษในเรื่องของการสืบสวนสอบสวน (มิกกี้ เมาส์เคยมีอาชีพเป็นนักสืบด้วยซ้ำ)
และด้วยบุคลิกที่โดดเด่นในแง่นี้เองทำให้ตัวการ์ตูนตัวนี้ชอบที่จะใช้เหตุผล
เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้กำลังเข้าสู้
จนสามารถเอาชนะศัตรูที่มีร่างกายที่แข็งแรงกว่า ทำให้ มิกกี้เมาส์
สามารถเป็นที่รักและครองหัวใจของเด็ก ๆ และผู้คนทั่วโลกได้เป็นเวลาหลายทศวรรษ
โดยหารู้ไม่ว่า มิกกี้
เมาส์ที่หลายคนรู้จักนั้นว่าเป็นตัวละครฝ่ายดีนั้น
ครั้งหนึ่งเขาก็เคยมีด้านมืดที่น่าตกใจเหมือนกัน!?
Mickey
Mouse suicide
ใครจะเชื่อล่ะครั้งว่าครั้งหนึ่ง
เจ้าหนูอารมณ์ดีผู้ยิ่งใหญ่นี้เคยมีความคิดฆ่าตัวตาย
ไม่ว่าใครก็ตามล้วนมีด้านมืดในจิตใจทั้งสิ้น ด้านมืดคืออารมณ์ ความคิด
การกระทำหลายๆ อย่างที่เป็นด้านไม่ดี เรารู้ แต่เราไม่สามารถควบคุมอะไรได้
ไม่ว่าจะเป็นความอิจฉา อาฆาตพยาบาล โลภ โมโห ความสิ้นหวัง
สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในจิตใจของทุกคน
ไม่เว้นแม้แต่มิกกี้ เมาส์
และพรรคพวกที่ครั้งหนึ่งพวกเขาได้ทำเรื่องอะไรบางอย่างที่หลายคนต้องอึ้งมาแล้ว
มิกกี้ เมาส์เคยมีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย
คุณเชื่อไหมมิกกี้ เมาส์ผู้ร่าเริง มองโลกในแง่ดี
ครั้งหนึ่งเจ้าหนูขวัญใจคนทั่วโลกนี้เคยจิตตกและมีความคิดที่จะฆ่าตัวตายมาแล้ว!!
“มิกกี้ เมาส์พยายามฆ่าตัวตาย” เป็นการ์ตูนดีสนีย์สั้นๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน 8-24 ตุลาคม 1930
เขียนบทและวาดโดย ฟลอยด์ ก็อทเฟรดสัน ลงหมึกโดยก็อทเฟรดสันและฮาร์ดี้ (Hardie
Gramatky)โดยเนื้อหาการ์ตูนเป็นการเล่าเรื่องราวมิกกี้
เมาส์พยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง
กล่าวกันว่าสาเหตุที่เขียนตอนนี้มาจากยุคนั้นชาร์ แชปลิน
และบัส เตอร์ คีตันกำลังเป็นดาราหนังเงียบที่ได้รับความนิยม วอลท์
ดีสนีย์เองมีความชื่นชอบเป็นอย่างมา (คนมีหลายคนเชื่อว่ามิกกี้
เมาส์มีต้นแบบมาจากชาร์ลี แชปลินเลยทีเดียว)
ซึ่งสองดาราหนังเงียบเก่งเรื่องการแสดงท่าทางและบทตลกที่มักเจ็บตัวเสมอ
นั้นเองทำให้เป็นแรงบันดาลใจให้วอลท์ ดีสนีย์สร้างสรรค์ผลงานโดยมีตลกเงียบเป็นแบบอย่าง
ต่อมาวอลท์ ดีสนีย์ได้ดูภาพยนตร์ตลกเงียบ Haunted
Spooks ที่ ฉายในปี 1920 ที่แสดงโดยฮาโรลด์ ลอยด์
ซึ่งรับบทเป็นชายหนุ่มที่ผิดหวังกับความรัก เพราะแฟนสาวไปมีคนอื่น
เขาจึงมีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย ตอนแรกเขาเห็นปืนตกอยู่บนพื้นจึงนำมันขึ้นมาเพื่อยิงปืนฆ่าตัวตาย
แต่กลายเป็นว่าเป็นปืนฉีดน้ำจนได้
ต่อมาเขาก็เอาตัวเองเข้าไปรางรถไฟแต่ก็ล้มเหลวอีก (เพราะรถไฟอยู่คนล่ะราง)
จากนั้นเขาก็จะโดดน้ำฆ่าตาย แต่กลายเป็นว่าน้ำตื้น ไม่ก็มีคนมาขัดจังหวะ
หรือไม่ก็ตกลงบนเรืออีก พูดง่ายๆ
ไม่ว่าฮาโรลด์จะพยายามฆ่าตัวตายด้วยวิธีใดก็ล้มเหลวแบบตลกขบขันหมด
และนั้นเองเป็นแรงบันดาลใจให้แก่วอลท์ ดีสนีย์คิดตอนนี้ขึ้นมา โดยเนื้อหาเป็นเรื่องมิกกี้ เมาส์เสียใจที่มินนี่มีชู้!!
ก่อนอื่นของพูดประวัติมินนี่สักหน่อย
มินนี่นั้นเป็นตัวละครที่ออกแบบโดย ฟลอยด์ ก็อทเฟรดสัน
นักวาดการ์ตูนคู่บุญของวอลท์ ดีสนีย์ โดย สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นคู่หมั้นของมิกกี้
เมาส์ และให้เป็นตัวแทนของความเป็นผู้หญิง มีบุคลิกที่อ่อนหวาน อ่อนไหว
ชอบการต่อสู้และมีอารมณ์ที่ค่อนข้างหุนหันพลันแล่น แน่นอน
ว่ามินนี่ก็ได้กลายเป็นตัวละครที่ได้รับความนิยม
และหลายคนก็รับรู้ว่ามินนี่กับมิกกี้
เมาส์เป็นรักตลอดกาลที่ไม่มีอะไรแยกทั้งสองออกจากกันได้
แต่หารู้ไม่ว่าครั้งหนึ่งมินนี่เคยทำให้มิกกี้
เมาส์เสียใจมาแล้ว!!
ฟลอยด์ ก็อทเฟรดสันได้ วาดมิกกี้ เมาส์ตอนนี้ขึ้นมา
โดยกล่าวถึงมิกกี้ เมาส์ที่กำลังตกอยู่ในสภาพที่หดหู่มากและมีความคิดอยากจะฆ่าตัวตายหลังจาก
ที่มินนี่แฟนสาวของเขาได้ทิ้งเขา แล้วไปหาพ่อค้าเร่ชื่อ “มิสเตอร์สลิคเกอร์”
เนื้อหา
ประมาณว่าเย็นวันหนึ่งมินนี่เชิญนายสลิคเกอร์คนนี้มาบ้าน
ในขณะที่มินนี่แนะนำคนในครอบครัว (ที่แสดงในอัลบั้มภาพครอบครัว) อยู่นั้น
จมูกของสลิคเกอร์ที่ยาวมากได้ยื่นเข้ามาใกล้ของมินนี่ และเวลาเดียวกันนั้นมิกกี้
เมาส์กำลังเดินเข้ามาเห็นพอดี ซึ่งหากมองในมุมมองของมิกกี้
เมาส์ก็นึกว่าแฟนสาวของเขาจูบชายคนอื่นซะงั้น และแทนที่มิกกี้
เมาส์จะเข้าบ้านไปถามมินนี่ตรงๆ เขากลับไม่ทำ เพราะเห็นภาพบาดใจจนรู้สึกเจ็บปวด
เขาก็เลยเดินคอตกและกลับบ้าน
ครั้งแรกล้มเหลว
“เธอ ไม่สนใจฉันอีกต่อไปแล้ว
ฉันอยู่ไม่ได้หากไม่มีเธอ” มิกกี้
เมาส์พึงพำแบบจิตกก่อนที่จะเข้าไปในบ้าน หยิบปืนไรเฟิล และใช้มัน
(สรุปคือมิกกี้เมาส์จะฆ่าตัวตาย ด้วยสาเหตุเพราะเข้าใจผิด) จากการ์ตูนจะเห็นว่ามิกกี้เมาส์
ตั้งปืนไรเฟิลบนเก้าอี้สองตัว แล้วก็ผูกเชือกที่ไกลปืน
หวังว่าหากเขาดึงเชือกเขาจะถูกยิงเข้าที่ด้านหลังศีรษะ
(ไม่รู้ทำยุ่งยากแบบนี้เพราะอะไร)
หากแต่ระหว่างที่มิกกี้เมาส์กำลังนับเพื่อกดไกปืนนั้นเอง
เขาก็ถูกขัดจังหวะโดนเสียงนาฬิกานกกาเหว่าบอกเวลา เป็นเหตุทำให้มิกกี้
เมาส์เลิกฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้ไป
พยายามกระโดดจากที่สูงก็พลาดอีก
วัน รุ่งขึ้นมิกกี้ เมาส์ก็พยายามฆ่าตัวตายอีก ด้วยการกระโดดจากสะพานสูง
สู่แม่น้ำเบื้องล่าง แต่พอดีเวลานั้นมีเรือขนาดเล็กแล่นผ่านมาพอดี และมิกกี้
เมาส์จึงตกมายังพื้นเรือทำให้ไม่ตาย และถูกกัปตันเรือจับโยนลงน้ำ
ที่น่าตลกคือมิกกี้ เมาส์ได้ขอร้องกัปตันว่า “อย่าโยนผมน่ะ
ผมว่ายน้ำไม่เป็น ไม่งั้นจมน้ำแน่!”
รมก๊าซฆ่าตัวตายก็พลาดอีก
วัน ถัดไปมิกกี้ก็เปลี่ยนวิธีฆ่าตัวตายใหม่อีก
คราวนี้หันไปรมก๊าซในบ้านของเขา
และล้มตัวลงนอนบนเตียงนอนหลับเพื่อรอหมดลมหายใจจะได้หลับตลอดกาล “มินนี่ ลาก่อน! โลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน”
อย่างไรก็ตามพอดีมีกระรอกตัวหนึ่งแอบเข้ามาในห้อง
และพยายามอัดก๊าซใส่ลูกโป่งสวรรค์ และอัดมากไปจนลูกโป่งระเบิดออก
และลูกโป่งระเบิดออก มิกกี้ เมาส์เลยตกใจตื่นเพราะนึกว่าถูกยิง
จนหมดอารมณ์ฆ่าตัวตายอีก
ถ่วงน้ำก็ไม่เอาเพราะมันหนาว
วันถัดไปอีก มิกกี้เมาส์ก็เอาห้อยทั่งตีเหล็กขนาดใหญ่หวังจะถ่วงน้ำตาย
หากแต่ระหว่างไปที่ริมแม่น้ำก็พบปลาตัวหนึ่ง มิกกี้ได้ถามปลาว่า “เฮ้ เจ้าปลา! น้ำวันนี้เป็นยังไงบ้าง?” เจ้าปลาเลยตอบว่า
“เย็นยะเยือกเหมือนผีเลยว่ะ” มิกกี้
เมาส์จึงตัดสินใจที่จะลองอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นและโยนทั่งลงในแม่น้ำ
สุดท้ายมิกกี้
เมาส์ก็เลิกล้มที่จะฆ่าตัวตาย
เลิกล้มที่จะฆ่าตัวตายในที่สุด
ในที่สุดมิกกี้ เมาส์ก็โยนบ่วงคล้องกิ่งไม้เพื่อที่จะแขวนคอตนเอง
หากแต่ระหว่างนั้นเขาก็ถูกล้อมรอบด้วยกระรอกขี้เล่นและมีความสุข มิกกี้
เมาส์จึงคิดได้และกล่าวว่า “ฉัน คิดว่าฉันกำลังบ้า อ่า
ฉันคิดที่จะแขวนคอตัวเอง! ฉันรู้สึกละอายเหลือเกินเมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของพวกนาย!
โลกนี้มันไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น!
ต้องให้กระรอกพวกนี้ทำให้ฉันรู้ว่าตัวเองบ้าขนาดไหน!"
หลังจากนั้นมิกกี้
เมาส์ไม่แขวนคอและเลิกล้มฆ่าตัวตายอย่างสิ้นเชิง
เขาเอาเชือกมาทำเป็นชิงช้าและเล่นอย่างมีความสุขต่อหน้ากระรอกที่ยิ้มแย้ม เหล่านั้น
จะเห็นได้ว่าการ์ตูนตอนมิกกี้
เมาส์พยายามฆ่าตัวตายนั้นไม่ได้ทำออกมาในเชิงหดหู่ สิ้นหวัง หรือจิตตก
แต่ทำออกมาในลักษณะขบขันเหมือนภาพยนตร์ตลกเงียบ Haunted Spooks ที่
การล้มเหลวในการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องตลกขบขัน พร้อมกับตบท้ายข้อคิดการมองโลกในแง่ดีของมิกกี้
เมาส์อีกครั้ง ซึ่งเขาเกือบฆ่าตัวตายเพราะความมืดบอดของความรักมาแล้ว
และนั้นเองเป็นสาเหตุที่ทำไมมิกกี้
เมาส์ยังคงเป็นตัวละครที่เป็นขวัญใจคนทั้งโลก ทุกเพศ ทุกวัย (อย่างไรก็ตาม
สาเหตุนี้เองทำให้มิกกี้ เมาส์เกลียดมิสเตอร์สลิคเกอร์ชนิดว่าอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้)
Suicide Mouse
คลิปตำนานเมืองมิกกี้ฆ่าตัวตาย
มีเรื่องแปลกๆ นิดหน่อย หากใครเอาคำว่า “Suicide
Mouse” ไปหาในกูเกิลจะพบคลิปประหลาดคลิปหนึ่ง
ความจริงแล้วมันเป็นคลิปตำนานเมืองอินเทอร์เน็ต ที่เล่าลือในช่วงปลายปี 2012
ซึ่งมีการอัฟคลิปวีดีโอบนยูทูป ที่อ้างว่าเป็นฟิล์มลับๆ
ที่ไม่มีการเปิดเผยสาธารณะชน เพราะเนื้อหาค่อนข้างจิตใจและรับไม่ได้สำรวจเด็ก
ซึ่งวอลต์ ดิสนีย์จัดการลบจนเหี้ยนไปแล้ว (แน่นอนว่ามันเป็นแค่ข่าวลือ
ไม่ได้มีการพิสูจน์ว่าเรื่องจริง)
แน่ นอนว่าไม่มีใครเจอฟิล์มต้องห้ามที่ว่า (ภาพคลิปนั้นเป็นภาพอ้างอิง ไม่ใช่ของจริง)
โดยเนื้อหาของข่าวลือฟิล์มที่ว่าเป็นภาพขาวดำความยาว 9 นาที 4 วินาที
เป็นภาพที่มิกกี้เมาส์เดินผ่านตึก 6 ตึก เล่นซ้ำไปเรื่อยๆ 2-3 นาทีแล้วจบ
โดยมีเพลงประกอบเปียโนผสมกับเสียงวิทยุจนหนังจบ โดยทำนองเพลงเป็นเพลงดูซ้ำๆ
ไม่ได้เป็นเพลงอารมณ์ดีเหมือนหนังทั่วไป
จากนั้นก็มีเสียงคลื่นวิทยุแทรกเข้ามายาวจนจบเรื่อง
ส่วน ตัวมิกกิ้ เมาส์เองก็ได้เดินไปเรื่อยๆ ระหว่างที่เดินมิกกี้
เมาส์ก็คอตก เดี่ยวก็เงยหัวไปข้างหน้า ด้วยสีหน้าที่ดูกังวล หลังจากนั้นฉากก็มืดลง
อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปสักพักหนังก็กลับมาฉากมิกกี้ เมาส์เดินจิตตกอีกครั้ง
หากแต่คราวนี้เสียงประกอบกลับเป็นเสียงคน ที่ฟังไม่ได้เป็นภาษา
เพราะมีเสียงกรีดร้องเหมือนร้องไห้กลบไว้ สักครั้งเสียงก็เริ่มชัดขึ้น
และภาพก็เริ่มบิดเบี้ยวในทิศทางที่ไม่เป็นธรรมชาติ และมิกกี้ เมาส์ก็เริ่มยิ้ม
เสียงเริ่มกลายเป็นกรีดร้องทรมาน เกิด ภาพสีขึ้น
(สมัยที่สร้างหนังยังไม่มีภาพสี) หน้าของมิกกี้เริ่มบิด ลูกตาเขาตกมาอยู่ที่แก้ม
ปากเขาขึ้นสูงไปอยู่บนหน้าตึกเริ่มลอยขึ้นเหนือพื้นส่วนทางเดินยังคงบิด เบี้ยว
ว่ากันว่าคนแรกที่ดูคลิปนี้ถึงขั้นจิตตกและฆ่าตัวตาย
แน่นอนว่าเรื่องที่ว่าเป็นเรื่องตำนานในอินเทอร์เน็ตเท่านั้นไม่ได้เป็นเรื่องจริงแต่อย่างใด
ด้านมืดๆ ของมิกกี้เมาส์ยังไม่จบเพียงเท่านี้!?
มิกกี้ เมาส์และกุฟฟี่เคยขายยาบ้า!?? คุณ อ่านไม่ผิดหรอก
ผมก็ตกใจเหมือนกันหลังจากที่เห็นหัวข้อนี้ครั้งแรก
ใครจะเชื่อละว่าครั้งหนึ่งสองตัวละครขวัญใจเด็กดีทั่วโลกจะเคยเสพและจำหน่าย ยาบ้า!? และมันเป็นเรื่องจริง!!
เรื่องของเรื่องคือบริษัทวอลท์ดีสนีย์ และบริษัทเยนเนอรัล
มิลล์บริษัทอาหารที่มีชื่อเสียงของสหรัฐ ได้ออกการ์ตูนสั้นในชื่อเรื่อง 'Mickey
Mouse and the Medicine Man'
ซึ่งทำขึ้นเพื่อโฆษณาอาหารกล่องซีเรียล ราคา 15 เซนต์
โดยเนื้อหาเกี่ยวกับสองคู่ผู้มิกกี้ เมาส์ และกุฟฟี่กับยาเสพติดออกฤทธิ์ทางประสาท
ที่พวกเขาถูกใจยานี้มากถึงขั้นนำไปเผยแพร่ให้ชนเผ่าในแอฟริกา
ซึ่งชนเผ่านี้ไม่ต้อนรับยาเสพติดของมิกกี้เป็นเหตุทำให้พวกเขาไม่พอใจมาก
ที่ มาของเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงปี 1950
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ชานเมืองของอเมริกาได้ขยายตัวเพราะความเจริญอย่างรวดเร็ว นั้นเองทำให้ยาเสพติดยากล่อมประสาทและกระตุ้นประสาทมีจำนวนมากขึ้น
และถูกนำมาใช้อย่างก้าวขวาง ตัวยาบางชนิด โดยเฉพาะยาบ้า
(ซึ่งสมัยนั้นไม่ได้อันตรายเหมือนปัจจุบัน) และพวกยาเบนซีดริน (Benzedrine)
ทุกคนสามารถซื้อหามันได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยาและนั้นเองทำให้การ์ตูนเรื่อง
นี้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1951 เพื่อแสดงให้เห็นการลองยาแบบไม่รู้ถึงการ
ในเชิงตลกขบขัน แฝงด้วยการจิกกัดสังคม
เนื้อหาของเรื่องคร่าวๆ ประมาณกุฟฟี่มาบ้านของมิกกี้
เมาส์พร้อมกับขวดยาสีเขียวที่เรียกว่า “เป๊ปโป้” (Peppo)
ความจริงแล้วมันเป็นการล้อเลียนแอมเฟตามีน (ความเร็ว) หรือง่ายๆ
คือมันเป็นส่วนประกอบหลักของยาบ้านั้นเอง เพียงแต่มันอยู่ในรูปแบบขวดใช้ดื่ม
แทนที่จะเป็นรูปแบบเม็ดๆ แบบบ้านเราเท่านั้นเอง
กุ
ฟฟี่วิ่งหน้าตื่นร้องเรียกมิกกี้ให้มาดูขวดยาสีเขียวที่ว่า
โดยกุฟฟี้บอกว่ามันเป็นสินค้าใหม่ชื่อ “เป๊ปโป้”
โดยบอกว่าให้ลองชิมดูเพราะมันอร่อยเหมือนช็อกโกแลต ซึ่งกุฟฟี้ได้ชิมคำแรกจู่ๆ
เขาก็กระโดดตัวสูงขึ้นมาเอง โดยที่เขาไม่รู้สึกตัวว่าเป็นเพราะอะไร
รู้แต่ว่าน่าจะเป็นฤทธิ์ยา “เป๊ปโป้”
มิกกี้เมาส์ก็เอาบ้างโดยการชิมยาคำหนึ่ง ก็พบว่าเขารู้สึกคึกสุดยอด
เขารู้สึกกระฉับกระเฉง วิ่งรวดเร็วเหมือนม้า โดยไม่รู้สึกเหนื่อย เหมือนตนมีพลังวิเศษปานนั้น
พร้อมพูดว่า “เป๊ปโป้สุดยอด!!” จากนั้นมิกกี้
เมาส์ก็บอกให้กุฟฟี่พาเขาไปหาผู้ผลิตหน่อย
และนั้นเองจึงพูดได้เต็มปากว่ามิกกี้ เมาส์และกุฟฟี่
เคยกินยาบ้ามาแล้วนั้นเอง!!
การออกฤทธิ์ของแอมเฟตามีนจะส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งทำหน้าที่เก็บความจำความคิดและควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง
ๆ เช่นการเคลื่อนไหว การทรงตัว การถ่ายทอดความรู้สึกทำให้ตื่นตัว เคลิบเคลิ้ม
ร่าเริง ไม่เหนื่อย ไม่ง่วง ตาแข็ง นอนไม่หลับคล้ายเป็นยาเพิ่มพลัง
มิกกิ้จำหน่ายยาบ้า!??
ที่น่าขำคือบริษัทที่ขาย “เป๊ปโป้” ไม่ใช่บริษัทที่มีตึกใหญ่
หรือร้านจำหน่ายยาแต่อย่างใด มันกลับเป็นละครสัตว์แถวๆ นั้น
มิกกี้เมาส์และกุฟฟี่ได้เข้าไปพบเจ้าของ “เป๊ปโป้”
โดยบอกว่าสนใจอยากทำธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องดื่มยามหัศจรรย์นี้
เจ้าของเลยยินดี และหลังจากจับมิกกี้ เมาส์ทำสัญญาแล้วเขาก็บอกให้มิกกี้
เมาส์ไปเปิดตลาดเป๊ปโป้ที่แอฟริกา!!
มิกกี้เมาส์และกุฟฟี่ได้เดินทางไปแอฟริกาก็พบว่าที่นั้นกันดานมาก อย่างไรก็ตามทั้งสองได้มาถึงหมู่บ้านหนึ่ง
เขาก็เริ่มเคาะขาย “เป๊ปโป้” ในล่ะบ้าน
เพื่อขายสินค้าของพวกเขา
อย่าง
ไรก็ตาม มิกกี้เมาส์ก็ถูกขัดจังหวะจากการขายสิ้นค้าของเขา
จากคนในเผ่าซึ่งเป็นหมอผีที่นั้น พวกเขามีหมอผีรักษาคนเผ่าอยู่แล้ว
ไม่ต้องการที่จะมียาวิเศษ “เป๊ปโป้” แต่อย่างใด
และนั้นเองทำให้มิกกี้และกุฟฟี่ถูกจับยัดใส่คุก
แอบเอายาบ้าให้คนอื่นกิน!??
แต่ด้วยความฉลาดของมิกกี้ เมาส์
เขาและกุฟฟี่ก็แหกคุกออกมาข้างนอกตอนกลางคืนได้ ระหว่างที่คนในเผ่านอนหลับกันหมด
พวกเขารีบวิ่งไปที่บ้านของหัวหน้าเผ่า และพบหัวหน้าเผ่านอนหลับอยู่บนเตียง มิกกี้
เมาส์เห็นโอกาส เลยกรอก “เป๊ปโป้” จนหมดขวดให้หัวหน้าเผ่ากิน
ผลคือหัวหน้าเผ่าตื่นขึ้นมาคึกจัดเริงร่า
หัวหน้าเผ่ารู้สึกชอบใจยาตัวนี้มากจึงขอซื้อ “โป๊ปโป้”
ของมิกกี้ เมาส์ที่มีอยู่ทั้งหมด
ระหว่างที่มิกกิ้ เมาส์กำลังทำสัญญาหัวหน้าเผ่านั้นเอง หมอผีก็มาห้าม
โดยบอกว่ายาดังกล่าวไม่ดี ไม่งาม (และมันก็จริงด้วย)
หัวหน้าเผ่าไม่รู้จะเชื่อใครเลยให้บททดสอบมิกกี้
เมาส์ด้วยการหากคุยกับช้างได้รู้เรื่องเขาจะซื้อ “โป๊ปโป้”
ทั้งหมด และหากมิกกี้ เมาส์ทำไม่ได้คงไม่ต้องบอกว่าจุดจบจะเป็นยังไง
มิกกี้ เมาส์ได้รับการทดสอบแบบไม่ได้เต็มใจนัก
แต่ด้วยความเหลือเชื่อมิกกี้ เมาส์บอกว่ายาของหมอผีไม่ดี
ช้างก็พูดภาษาคนคล่องอย่างกับกินวุ้นแผลภาษาของโดเรมอน ผลคือหมอผีอับอายและแพ้ในที่สุด
ส่วนมิกกี้ เมาส์ก็ได้เปิดตลาดยาบ้า .....เอ้ย!! “เป๊ปโป้ในแอฟริกาได้สำเร็จ
แน่นอนว่า หลังจากที่ดูการ์ตูนนี้จบ
หลายคนสงสัยว่าสิ่งที่มิกกี้ เมาส์และกุฟฟี่นั้นทำถูกต้องหรือไม่ ?
ทั้งเสพและจำหน่ายยาบ้า แถมให้คนอื่นเห็นดีเห็นงามกับยาบ้าอีก!?
สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเวียดนาม ยาบ้า
(แอมเฟทามีน) เป็นยาที่ใช้กระตุ้นความกล้าหาญ และความ อดทนของทหาร
โดยประมาณกันว่ามีการใช้ยาบ้ากว่า 72 ล้านเม็ดระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
หลังสงครามการใช้ยาบ้าจึงเริ่มแพร่ขยายออกไปสู่สังคม ซึ่งเวลานั้นแอมเฟทามีนไม่ผิดกฎหมาย
แถมถูกนำไปใช้จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ทำให้เบื่ออาหาร หรือหายอ่อนเพลีย
เป็นที่นิยมของอเมริกาในยุคนั้น ซึ่งกว่าที่ยาบ้าจะถูกจัดเป็นยาผิดกฎหมาย
ยาชนิดนี้ก็ระบาดไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยแล้ว
ใน ช่วงที่การ์ตูนเรื่องนี้ออกมา ยาบ้ายังเป็นยาที่ถูกกฎหมาย
(แม้จะมีความกังวลกับฤทธิ์ยาก็ตาม)
ดังนั้นสิ่งที่มิกกี้และกุฟฟี่นั้นคือการรู้ไม่ถึงการ เห่อของใหม่
ไม่รู้ความน่ากลัวของแอมเฟทามีนนั้นเอง
การ์ตูน มิกกี้ เมาส์และพรรคพวกเป็นการ์ตูนที่ผ่านมาทุกยุค ทุกสมัย โดยเฉพาะเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของอเมริกัน ที่มิกกี้ เมาส์ผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ บางครั้งอาจมีด้านมืดบ้าง แต่กระนั้นมิกกี้ เมาส์และพรรคพวกก็ไม่ได้ถล้ำลึกสู่ด้านมืด ยังรู้สึกหยุดคิด หยุดการกระทำ กลับใจ พร้อมกับปรับปรุงตัวกลับมาสู่ด้านสว่างได้ จนกลายเป็นตัวละครขวัญใจของคนทั่วโลกที่เด็กดีควรทำตามอย่างทุกข์ทุกสมัย
“ไม่มีใครบนโลกหรอก ที่สมบูรณ์แบบไปเสียหมด”
อ้างอิง http://my.dek-d.com/cammy/writer/viewlongc.php?id=125456&chapter=260
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น